รากฟันเทียม หรือรากเทียม คือ วัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟัน ทำมาจากไททาเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ใช้สำหรับฝังลงไปในกระดูกขากรรไกร เพื่อช่วยในการทำฟันเทียม ทั้งแบบติดแน่น และแบบถอดได้ ปัจจุบัน การใส่รากฟันเทียม ถือว่าเป็นวิธีการใส่ฟันปลอมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
ทำไมต้องทำ รากฟันเทียม
เกิดจากปัญหาฟันหลอหรือฟันไม่ครบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งผู้สูงอายุที่ฟันเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดเป็นปัญหาไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร ทำให้กินข้าวแล้วไม่อร่อย และบางกรณีก็ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ เช่น ฟันหน้าหัก อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ไม่อยากใส่ฟันปลอมเพราะต้องคอยใส่คอยถอดเข้าออกตลอดเวลา และการทำสะพานฟันก็ต้องกรอฟันแท้สองซี่เพื่อครอบฟันซี่กลางที่มีปัญหา ทั้งหมดเป็นสามซี่ จึงต้องเสียเนื้อฟันแท้ที่ยังดีอยู่ไป
วัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียมคืออะไร?
รากฟันเทียม โดยทั่วไปแล้วจะผลิตจากโลหะผสมไททาเนียม เนื่องจากมีความแข็งแรงและสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ดี ร่างกายไม่ต่อต้าน แข็งแรง ทนทาน และไม่เป็นสนิม
3 ส่วนสำคัญของ “รากฟันเทียม”
- รากฟันไทเทเนียม (Fixture) มีลักษณะคล้ายรากฟัน สามารถเชื่อมติดกับกระดูกขากรรไกรได้ดีและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อเนื้อเยื่อ มีความแข็งแรงคงทน สามารถรับแรงบดเคี้ยวและคงรูปได้ดี
- เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment) เป็นส่วนที่ใส่ลงบนรากฟันไทเทเนียมเพื่อให้ครอบฟันยึดติดแน่นกับรากฟันไทเทเนียม
- ครอบฟัน (Crown) เป็นส่วนที่อยู่ด้านบนของเหงือก ทำด้วยเซรามิค (porcelain) เลียนแบบรูปร่างและสีของฟันธรรมชาติ หรือทำด้วยโลหะ ทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงบดเคี้ยวอาหาร
-
ส่วนประกอบ รากฟันเทียม ประกอบด้วย ไทเทเนียม (Fixture) เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment) และ ครอบฟัน (Crown)
ทำรากฟันเทียม เจ็บไหม?
เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่า หลังการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมในวันแรกๆ นั้น ย่อมมีความเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดา อาจมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละราย
อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนั้นได้
มีวิธีทำรากฟันเทียมแบบไม่เจ็บได้หรือไม่ ทำอย่างไร?
ในขณะที่ทำการผ่าตัดฝังรากเทียมนั้น ผู้รับการฝังรากฟันเทียมจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ เนื่องจากทันตแพทย์ทำการผ่าตัดโดยใช้ยาชา แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ (หลังทำการรักษาประมาณ 2-4 ชั่วโมง) จะเริ่มรู้สึกปวดดังนั้น หากต้องฝังรากฟันเทียม จึงควรรับประทานยาแก้ปวดก่อนที่ยาชาจะหมดฤทธิ์ โดยอาการปวดนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความยากง่ายซับซ้อนในการทำ ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด และจำนวนรากฟันเทียมที่ฝัง
อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาจไม่มีอาการปวด หรือปวดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางรายอาจมีอาการปวดมาก แต่อาการปวดนั้นมักเป็นอยู่ไม่เกิน 7-10 วัน
ทันตแพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้รับประทานอยู่แล้ว สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้จนกว่าอาการปวดจะหายไป รวมทั้งใน 3-5 วันแรกอาจมีอาการบวมได้บ้าง ถือว่าปกติ แต่หากมีอาการปวดบวมมาก หรือปวดนานหลายวันไม่หาย ควรปรึกษาทันตแพทย์
การใส่ รากฟันเทียม
รากฟันเทียมเป็นตัวฟันปลอมที่ติดแน่นอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้น็อตหรือสกรูฝังเข้ากับเหงือกและกระดูกเบ้าฟัน โดยมีครอบฟันใส่อยู่ด้านบน ไม่ต้องคอยถอดเข้าออกเหมือนการใส่ฟันปลอมทั่วไปค่ะ เป็นการนำเทคโนโลยี X-ray CT Scan มาผสานข้อมูลการพิมพ์ปากจากเครื่องสแกนฟัน เพื่อผลิตอะคริลิคแม่แบบสำหรับฝังรากฟันเทียม จะได้หลังจากที่เรา
- พิมพ์ปาก ด้วยวิธีแบบดั้งเดิม คือผสมผงพิมพ์ปากแล้วปั๊มเข้าไปหรือสแกนฟัน
X-ray CT scan ภาพ 3 มิติ ที่มีในคลินิก เพื่อดูความกว้างxยาวxหนา ของกระดูกเบ้าฟัน เปรียบเสมือนแผนที่ช่วยให้เราไม่หลงทิศทาง ไปถึงจุดหมายอย่างถูกต้อง
การทำรากฟันเทียมทำอย่างไร
- ทันตแพทย์จะตรวจสภาพช่องปากอย่างละเอียด, ตรวจ x-ray หรือถ้าจำเป็นก็จะทำ CT Scan ภาพ 3 มิติ เพื่อประเมินความหนาของกระดูกขากรรไกรและเนื้อเยื่อบนสันเหงือก อาจทำการพิมพ์ปากเพื่อใช้วางแผนการรักษา และกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมของรากฟันไทเทเนียม
- การฝังรากฟันไทเทเนียม ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ให้ก่อน จากนั้นจะทำการผ่าตัดฝังรากฟันไทเทเนียมลงไปในกระดูกขากรรไกร และเย็บปิดแผล จากนั้น 7-14 วัน จึงมาตัดไหมที่เย็บออก รอประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกขากรรไกร
- ทันตแพทย์จะใส่เครื่องมือที่ช่วยสร้างร่องเหงือก จากนั้น 1-2 สัปดาห์ จะทำการพิมพ์ปากเพื่อส่งทำครอบฟัน
- ทันตแพทย์จะใส่ครอบฟันให้ ก็จะได้ฟันที่สวยงามและมีประสิทธิภาพการใช้งานใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ
ถ้าฟันอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ยาก พร้อมกับมีเหงือกและกระดูกที่ดีอยู่แล้ว จะคล้ายกับการถอนฟันหรือบางทีอาจจะเจ็บน้อยกว่าด้วยซ้ำ การทำรากฟันเทียมจะมีระยะเวลาการทำที่นานสักหน่อยเพราะจะต้องรอให้รากเทียมเชื่อมติดกับกระดูกก่อนถึงจะทำต่อในส่วนของการครอบฟันได้ ส่วนมากมักจะใช้เวลาประมาณสามเดือนขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย
ใครและเมื่อไร ที่ต้องทำ รากฟันเทียม?
หลักๆ แล้ว ผู้ที่ต้องทำ รากฟันเทียม ก็คือ ผู้ที่สูญเสียฟันแท้ ต้องการการบดเคี้ยวที่ดี หรือทดแทนฟันที่เหลืออยู่แต่ไม่แข็งแรง และต้องการยิ้ม พูดคุยได้อย่างมั่นใจโดยทั่วไปแล้ว การรับการรักษาด้วยรากฟันเทียม สามารถทำได้ทุกคนโดยไม่กำหนดช่วงอายุ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง โดยผู้ที่ไม่เหมาะสมจะทำรากฟันเทียม คือ
- ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
- หญิงตั้งครรภ์ ควรรอให้คลอดบุตรก่อนทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ที่เสี่ยงต่อการเลือดไหนไม่หยุด ผู้ป่วยมะเร็ง ที่ต้องได้รับการฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ผู้ป่วยลูคิเมีย ผู้ป่วยไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือสูบบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จในการทำฟันเทียม ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง เป็นต้น
- ผู้ป่วยจิตเภท หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้
คุณเหมาะกับการใส่ รากฟันเทียมหรือไม่
- ผู้ที่มีฟันแตก หัก หรือบิ่น สมควรได้รับการถอนฟันจากทันตแพทย์ และทำรากฟันเทียมเพื่อทดแทนฟันที่เสียไป
- เหงือกบริเวณที่จะทำการปลูกรากฟันเทียม ไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งอาจส่งผลให้การปลูกรากฟันเทียมล้มเหลวได้
- ผู้ที่ทำฟันปลอมแบบถอดได้ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
- ผู้ที่มีการสูญเสียฟันแท้ไปสามารถรับการรักษาด้วยรากฟันเทียมได้ทุกคนโดยไม่กำหนดช่วงอายุ แต่ไม่ควรทำในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
- สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ ควรคลอดบุตรก่อน
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได ไม่ควรเข้ารับการทำรากฟันเทียม
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องได้รับการฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกไม่ควรเข้ารับการทำรากฟันเทียม
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ผู้ป่วยที่เป็นลูคิเมีย ผู้ป่วยไฮเปอร์ไทรอยด์ควรได้รับการรักษาเพิ่มเติมก่อนทำการฝังรากเทียม
- สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือสูบบุหรี่จัดจะมีผลต่อความสำเร็จในการรักษา ไม่ควรเข้ารับการทำรากฟันเทียม
- ส่วนผู้ป่วยจิตเภท ผู้ป่วยที่มีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้ ไม่ควรเข้ารับการทำรากฟันเทียม
รากฟันเทียม ทำมาจากอะไร?
ส่วนรากเทียมที่ฝังลงไปในกระดูก คือ ส่วนของรากเทียม ที่มีลักษณะคล้ายสกรู หรือน๊อต ที่ฝังจมลงไปในกระดูกขากรรไกร เพื่อให้มีการยึดติดกับกระดูกขากรรไกรทำหน้าที่เหมือนรากฟัน โดยแยกออกได้เป็น
หลักยึดสำเร็จรูป (Implant abutment) : ส่วนที่ยึดต่อระหว่าง implant body และส่วนทันตกรรมประดิษฐ์ มักทำจากไททาเนียมหรือเซรามิค ทำหน้าที่แทนส่วนของตัวฟัน
ส่วนทันตกรรมประดิษฐ์ (Prosthetic component) : หรือส่วนของฟันเทียม เช่น ครอบสะพานฟัน ฟันเทียมถอดได้ มักยึดกับ implant abutment โดยใช้กาวทางทันตกรรม หรือสกรู
ชนิดของรากฟันเทียมตามวิธีทำ
รากฟันเทียมแบ่งได้หลักๆ เป็น 3 ชนิด คือ Conventional Immediate implant และ immediate loaded implant จะเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับสภาพภายในช่องปาก ความจำเป็นของคนไข้ และประสบการณ์ของ ทันตแพทย์
- Conventional Implant คือ การฝังรากเทียมโดยทั่วไปขั้นตอนคร่าวๆ คือ ทันตแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยพิมพ์ปากและ x-ray ในบางตำแหน่งอาจจะต้องทำ CT Scan ร่วมด้วยเพื่อทำการวางแผนการรักษา จากนั้นจะนัดหมายผู้ป่วยเพื่อการผ่าตัดเล็กฝังรากเทียมลงไปในกระดูกขากรรไกร หลังจากฝังรากเทียมแล้วจะต้องรอให้รากเทียมและกระดูกยึกติดกันเต็มที่ ประมาณ 3-4 เดือนขึ้นอยู่กับลักษณะของกระดูก โดยทันตแพทย์ก็จะทำฟันเทียมยึดกับรากเทียมต่อไป ซึ่งระยะเวลาในขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของฟันเทียม ส่วนใหญ่จะใช้เวลา 1-4 สัปดาห์ ข้อจำกัดในการรักษาจะมีน้อยมากหากวางแผนการรักษาไว้เป็นอย่างดี แต่ที่พบมาก คือผู้มีปริมาณของกระดูกน้อยมากๆ ในบริเวณที่จะทำการฝังรากเทียม ทำให้ต้องมีการปลูกกระดูกก่อนหรือในบางรายอาจจะปลูกกระดูกไม่ได้
- Immediate implant คือ การฝังรากเทียมทันทีหลังจากทำการถอนฟันธรรมชาติออก ข้อดีของวิธีนี้ คือลดขั้นตอนและระยะเวลาการทำงานลง ลดการละลายของกระดูก ลดโอการการเกิดเหงือกร่น แต่ตำแหน่งฟันที่เหมาะจะทำด้วยวิธีนี้มักจะเป็นฟันหน้า หรือฟันกรามน้อย ต้องไม่มีพยาธิสภาพที่ปลายรากฟันของฟันที่จะถอน และต้องมีปริมาณกระดูกเพียงพอให้รากฟันเทียมยึดอยู่
- Immediate loaded implant คือ การต่อส่วนของทันตกรรมประดิษฐ์ เช่น ครอบฟันไม่ว่าจะเป็นแบบชั่วคราว หรือแบบถาวร ไปที่รากฟันเทียมทันทีที่ทำการฝังรากฟันเทียม ซึ่งจะช่วยร่นระยะเวลาของการรักษาลงไปได้มาก ให้ความสวยงามเนื่องจากคนไข้จะมีฟันอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้มีอยู่มาก
ประเภทของ รากฟันเทียม ตามลักษณะของรากฟันเทียม
การทำรากฟันเทียม เป็นหนึ่งในการทำทันตกรรม เพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่เสียไป และสามารถใช้แทนการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ แต่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับฟันธรรมชาติมากที่สุด และไม่ต้องกังวลว่า ฟันปลอมอาจหลุดออกมาได้ หรือเกิดความรู้สึกไม่สบาย
ในการทำรากฟันเทียม จะทำโดยการปลูกถ่ายลงบนกระดูกขากรรไกร ทำให้ฟันปลอมของยึดแน่น ไม่หลุดง่าย อีกทั้งมีความคงทนและแข็งแรงกว่าการทำฟันปลอม โดยประเภทของรากฟันเทียมแต่ละชนิด คือ
- รากฟันเทียมแบบผ่าตัดฝังรากเทียม เป็นการผ่าตัดทำรากฟันเทียม ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะจะเป็นการฝังรากเทียม ลงในขากรรไกรโดยตรง และเมื่อเนื้อเยื่อบริเวณรอบเหงือกฟื้นฟูสภาพจนหายดีแล้ว ก็จะสามารถทำการฝังรากเทียม เพื่อทำฟันปลอมต่อได้ทันที การทำรากฟันเทียม แบบผ่าตัดฝังรากเทียม จะสามารถเลือกได้ทีหลังว่า จะทำฟันปลอมแบบซี่เดียว หลายซี่ หรือทำเป็นสะพานฟัน และเหมาะกับผู้ป่วยที่มีกระดูกขากรรไกรแข็งแรง
- รากฟันเทียม แบบหลอมเนื้อโลหะเป็นโครงแล้วนำมาติดบนขากรรไกรใต้เนื้อเยื่อเหงือก เป็นการหลอมเนื้อโลหะให้เป็นโครงสร้างเดียวกับเหงือก แล้วนำมาติดบนขากรรไกรใต้เนื้อเยื่อของเหงือก เมื่อเหงือกฟื้นฟูสภาพจนหายดีแล้ว โครงนั้นจะติดสนิทอยู่กับขากรรไกร แล้วจึงทำการปลูกถ่ายฟันปลอม หรือนำฟันปลอมมาติดใส่ต่อไป
ชนิดของส่วนทันตกรรมประดิษฐ์
ทันตแพทย์สามารถใช้รากฟันเทียมช่วยในการใส่ฟันทดแทนให้คนไข้ได้หลายวิธี
- ในกรณีที่มีฟันหายไปเพียง 1 หรือ 2 ซี่ การใส่ฟันเทียมติดแน่นทำได้ 2 วิธี คือ รากฟันเทียมและสะพานฟัน แต่รากฟันเทียมถือว่าเป็นวิธีใส่ฟันที่ให้ผลสำเร็จดีที่สุด และมีข้อดีมากกว่าการใส่สะพานฟัน คือ ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง ทำความสะอาดได้ง่ายกว่า และสะพานฟันมีส่วนของครอบฟันติดกันทั้งหมด หากมีซี่ใดซี่หนึ่งมีปัญหาจะต้องรื้อออกทั้งหมด และในฟันที่ไม่แข็งแรงการใส่สะพานฟันอาจทำอันตรายต่อฟันหลักยึดได้
- การทดแทนฟันหลายซี่ ในกรณีที่ฟันหายไป1 ซี่แต่หลายๆ ตำแหน่ง ก็สามารถใส่รากฟันเทียมรองรับครอบฟันได้ แต่กรณีที่ฟันหายไปหลายๆ ซี่ ติดๆ กันทันตแพทย์สามารถทำการฝังรากฟันเทียม เพื่อรองรองสะพานฟันได้ ซึ่งมีข้อดี คือสามารถลดจำนวนรากฟันเทียมลง หรือในบริเวณที่ไม่สามารถฝังรากฟันเทียมเท่ากับจำนวนฟันที่หายไปได้
- ในกรณีที่มีฟันหายไปเป็นจำนวนมาก รากฟันเทียมสามารถช่วยให้ฟันเทียมแบบถอดได้แน่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องใส่ตะขอฟันปลอม หรือทำให้ส่วนของเหงือกปลอมสั้นลงได้
- การทดแทนฟันที่หายไปทั้งปาก ในกรณีที่ฟันหายไปทั้งปาก รากฟันเทียมสามารถช่วยทดแทนฟันได้ทั้งแบบติดแน่น และแบบถอดได้ แบบติดแน่น ทันตแพทย์จะทำการฝังรากเทียมจำนวน 4, 6 หรือ 8 ตัวต่อ 1 ขากรรไกร ส่วนแบบถอดได้จะทำการฝังรากฟันเทียมจำนวน 2-4 ตัว วิธีการและความยุ่งยากก็จะแตกต่างกันไป
ข้อดีของ รากฟันเทียม
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- ไม่ต้องกรอแต่งฟันข้างเคียง
- สามารถบดเคี้ยวได้ดี
- ไม่มีปัญหาเรื่องการออกเสียง เมื่อเทียบกับฟันเทียมชนิดอื่น ๆ
- ช่วยให้รู้สึกสบายเมื่อใส่ฟันเทียมแบบถอดได้ แน่นกระชับมากยิ่งขึ้น
- ป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกข้างเคียง
- สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ
- เสริมสร้างสุขภาพช่องปาก
- มีความคงทน
- เมื่อใช้ร่วมกับฟันเทียมแบบถอดได้ จะหมดปัญหาฟันเทียมขยับระหว่างพูดคุย หรือทานอาหาร
ความเสี่ยง
เฉกเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ การผ่าตัดฝังรากเทียมมีความเสี่ยงบางประการ ปัญหาจากการผ่าตัดสามารถเกิดขึ้นและพบได้ ได้แก่ติดเชื้อที่ตำแหน่งรากฟันเทียม บาดเจ็บหรือทำลายอวัยวะรอบข้าง เช่น ฟันข้างเคียงหรือเส้นเลือด บาดเจ็บเส้นประสาท ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวด ชา หรือความรู้สึกคล้ายเหน็บชาที่บริเวณ ฟัน เหงือก ริมฝปากและคาง โพรงอากาศไซนัสอักเสบ เมื่อผ่าตัดฝังรากเทียมบริเวณฟันบนและเกิดการทะลุเป็นช่องระหว่างปากและโพรงอากาศ
การเตรียมตัวเข้ารับการทำรากฟันเทียม
ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการรักษาด้วยรากฟันเทียม จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจและประเมินโดยละเอียดจาก ทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังเพราะอาจแก้ไขได้ยากมาก อีกทั้งทันตแพทย์จำเป็นต้องมีความรู้และความชำนาญ สามารถเลือกรากเทียมที่เหมาะสมกับคนไข้ มีความเข้าใจเรื่องการบดเคี้ยว และขั้นตอนทางทันตกรรมประดิษฐ์ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาอยู่ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ และที่สำคัญผู้ป่วยควรดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดีก่อนเข้ารับการรักษา
ถ้ากลัวหมอฟันมากๆ จะทำรากฟันเทียมได้ไหม วางยาสลบได้ไหม?
โดยปกติแล้ว การทำรากฟันเทียมใช้เวลาไม่นาน สามารถทำภายใต้ยาชาได้โดยไม่มีการเจ็บปวดระหว่างทำแต่หากคนไข้กลัวมาก ทันตแพทย์อาจให้รับประทานยาหรือฉีดยาที่ช่วยระงับความกังวลให้ เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบายขึ้น จนสามารถทำการรักษาภายใต้ยาชาได้
หากต้องฝังรากฟันเทียมหลายซี่ หรือต้องมีการปลูกกระดูกจำนวนมาก หรือต้องตัดกระดูกจากส่วนอื่นของคนไข้มาปลูกเพิ่มในบริเวณที่จะฝังรากเทียม คนไข้กลัวมากและอยากทำภายใต้ยาสลบ อาจลองปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อพิจารณาข้อดีข้อเสีย ซึ่งต้องคำนึงถึงสุขภาพของคนไข้ต่อความเสี่ยงของการใช้ยาสลบ และค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ประกอบการวางแผนการรักษา อาจทำการรักษาภายใต้ยาสลบได้ในโรงพยาบาล
การดูแลหลังการฝังรากเทียม
เพื่อการให้ฝังรากฟันเทียมเป็นไปอย่างเรียบร้อย และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง จึงควรปฏิบัติดังนี้
- ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก สามารถใช้ผ้าพันน้ำแข็งหรือเจลเย็น ประคบด้านนอกช่องปากบริเวณที่ทำการผ่าตัด เพื่อช่วยลดอาการปวดบวมได้
- ควรรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดี แปรงฟันให้สะอาด เพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียรากฟันเทียมได้
- หลังทำการฝังไปใหม่ๆ ควรรับประทานอาหารอ่อนนุ่ม เพื่อบรรเทาการกระทบการเทือนแผล
- ควรงดการสูบบุหรี่และงดดื่มเหล้า เพื่อป้องกันแผลอักเสบ
- พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้แผลหายเร็ว
- งดการออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อป้องกันแผลอักเสบ
- ไปพบทันตแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ
ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม
การทำรากฟันเทียม จะมีเรทราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่น จนถึง หลักแสนเลยก็มี ทั้งนี้เรทราคาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว ๆ 45,000 – 65,000 บาท และจะแพงขึ้นไปอีก ถ้าเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง และ สถานที่ที่มีชื่อเสียงตามโรงพยาบาล/คลินิกเอกชนต่างๆ เป็นต้น
TIPS : สำหรับใครที่คิดว่า การใส่รากฟันเทียมมีราคาที่สูงเกินไป อาจจะใส่เพียงฟันปลอมก็ได้ เพราะ มีราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า โดยเริ่มตั้งแต่ หลักพัน ไปจนถึง หลักหมื่นต้น ๆ เท่านั้นเอง
อายุการใช้งาน และการดูแลรักษารากฟันเทียม
รากฟันเทียมที่ทำมาจากไททาเนียม จะมีความคงทนสูงมาก โดยอายุการใช้งาน จะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของผู้ป่วย รากฟันเทียมจะไม่เกิดผุ แต่สามารถเกิดโรคเหงือกอักเสบได้หากดูแลไม่ดี โดยการดูแลรักษารากฟันเทียม ก็ไม่ต่างอะไรจากรักษาฟันธรรมชาติตามปกติ คือ การแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน น้ำยาบ้วนปาก และเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
ที่มา : wongnai